เว้นว่าง

เว้นว่าง

วันอาทิตย์ที่ 3 ตุลาคม พ.ศ. 2553

เทคโนโลยี 3G คืออะไร



หากกล่าวถึงเทคโนโลยี 3G ที่ใช้บนมือถือ หลายๆท่านน่าจะเคยได้ยินผ่านหูมาไม่มากก็น้อย ซึ่งในปัจจุบันเทคโนโลยี 3G เริ่มมีการใช้งานอย่างแพร่หลายมากขึ้นในประเทศไทย โทรศัพท์มือถือรุ่นใหม่ๆ เปิดตัวมาพร้อมฟังก์ชั่นรอง รับการใช้งาน 3G ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดคือ โทรศัพท์มือถือของ Apple หรือ iPhone นั่นเอง โดยก่อนที่จะมาเป็นยุค 3G เครือข่ายโทรศัพท์มือถือมีวิวัฒนาการดังนี้
  1. ยุคแรก (First Generation: 1G)
นับว่าเป็นยุคบุกเบิกของการใช้โทรศัพท์เคลื่อนที่ก็ว่าได้ โดยเครือข่ายจะใช้การรับส่งสัญญาณเป็นแบบอนาล็อก (Analog) เริ่มมีการใช้งานเมื่อปีพ.ศ. 2523 - 2533 โทรศัพท์ในยุคนี้จะมีขนาดใหญ่จนเกือบเท่ากับกระเป๋าเอกสาร ทำให้ไม่สะดวกที่จะ พกพาไปไหน อีกทั้งราคาก็ยังสูงมากด้วย และการใช้งานนั้นสามารถใช้ได้เพียงการโทรออก-รับสายเท่านั้น
      2. ยุคที่สอง (Second Generation: 2G)
    ในยุคที่สองของการพัฒนาโทรศัพท์มือถือ ได้มีการพัฒนาเครือข่ายจากเดิมที่ใช้ระบบอนาล็อกมาเป็นระบบดิจิตอล (Digital) ทำให้สามารถส่งข้อความสั้น (Short Message Service: SMS) ได้ไม่เกิน 160 ตัวอักษร ความเร็วในการรับ-ส่งข้อมูลของ เทคโนโลยี 2G อยู่ที่ 10 กิโลบิตต่อวินาที หรือเทียบจากการดาวน์โหลดเพลง MP3 ความยาว 3 นาที ก็จะใช้เวลาดาวน์โหลด ทั้งหมด30-40 นาที ในยุคของ 2G จะจำแนกเครือข่ายออกเป็น 2 ระบบคือ
    • ระบบ GSM (Global System for Mobile Communications) ซึ่งเป็นระบบมาตรฐานที่ใช้ในทวีปยุโรป และเอเชีย ซึ่งมีความสามารถในการใช้โทรข้ามเครือข่าย (Roaming) ได้
    • ระบบ CDMA (Code Division Multiple Access) เป็นระบบที่ใช้ในประเทศอเมริกาและเกาหหลีใต้ ซึ่งระบบนี้ไม่สามารถที่จะใช้โทรข้ามเครือข่ายได้ แต่จะมีคุณภาพของสัญญาณเสียงและข้อมูลที่ดีกว่า
         3. โทรศัพท์มือถือยุคที่ 2.5 (2.5 Generation: 2.5G)
    ยุคของ 2.5G นั้นได้พัฒนาด้านการรับ-ส่งข้อมูลให้มีความเร็วมากขึ้น โดยการนำเทคโนโลยีที่เรียกกันว่า GPRS และ EDGE เข้ามาใช้  ทำให้โทรศัพท์มือถือในยุคนี้สามารถใช้เล่นอินเตอร์เน็ตได้ ทั้งยังใช้ Application ที่ต้องอาศัยการเชื่อมต่อ อินเตอร์เน็ตในการใช้งาน อาทิ เช็คอีเมล Web Browsing แผนที่และระบบนำทาง GPS การใช้งาน Streaming แบบ real-time ซึ่งหากเทียบความเร็วของการดาวน์โหลดของเครือข่าย 2.5G จากการดาวน์โหลดไฟล์ MP3 ความยาว 3 นาที จะใช้เวลาดาวน์โหลดประมาณ 6-10 นาที โดยการใช้งาน EDGE/GPRS ต้องทำการ Connect และ Disconnect ทุกครั้ง เนื่องจากระบบจะคิดค่าใช้จ่ายจากระยะเวลาที่เริ่มการติดต่อ จนกระทั่งยกเลิกการติดต่อ
          4. ยุคที่สาม (Third Generation: 3G)
      ในยุคนี้ได้มีการพัฒนาโครงข่าย (Network) จากเดิมที่เป็น Circuit Switching Network เป็นระบบ Packet Switching Network ซึ่งระบบดังกล่าวจะทำให้สามารถเชื่อต่ออินเตอร์เน็ตด้วยสัญญาณที่ดีขึ้น การรับ-ส่งข้อมูลจึงสามารถทำได้รวดเร็วขึ้น (2 เมกกะบิตต่อวินาที) จึงสามารถดาวน์โหลดไฟล์ Multimedia ได้อย่างสบายๆ
      การเชื่อมต่อ Network ของยุค 3G จะเป็นแบบ Always on ซึ่งสามารถเปิดระบบได้ตลอดเวลา (ต่างจาก 2.5G ที่ต้องทำการยกเลิกการติดต่อทุกครั้ง) ระบบจะคิดค่าจ่ายต่อเมื่อมีการรับ-ส่งข้อมูลเกิดขึ้นเท่านั้น ตัวอย่างความสามารถของมือถือในยุคนี้ เช่น โทรศัพท์มือถือที่สามารถคุยวิดีโอได้ (VDO Phone) ซิมเบอร์เดียวเชื่อมต่อทั้งโลก (Global Roaming สามารถเข้าไปดูได้ที่เว็ปไซต์ www.globalroaming.mobi) การเชื่อมต่ออินเตอร์เน็ตด้วยความเร็วสูง (Hi-speed web) การระบุตำแหน่งและแผนที่นำทาง (Navigations/Maps) การประชุมผ่านวิดีโอ (VDO Conference) การดูโทรทัศน์แบบเลือกรานการได้ (TV on demand) หรือการเรียนรู้ผ่านโทรศัพท์มือถือ เป็นต้น เมื่อเทียบความเร็วในการดาวน์โหลดของโทรศัพท์ในยุคนี้จากการดาวน์โหลดไฟล์ MP3 ความยาว 3 นาที จะใช้เวลาดาวน์โหลดเพียง 10 วินาที ถึง 1 นาทีเท่านั้น
      ในปัจจุบันได้มีการแบ่งมาตรฐานของ 3G ออกเป็น 2 ระบบ คือ
      1. ระบบ WCDMA (Wideband Code Multiple Access) ซึ่งพัฒนามาจากระบบ GSM -> GPRS ->EDGE -> WCDMA
      2. ระบบ CDMA2000 1x EV-DV พัฒนามาจากระบบ CDMA One -> CDMA2000 1x ->CDMA2000 1x EV-DO  และ CDMA2000 1x EV-DV (Evolution Paths)


      Cellular Evolution Paths 2G to 3G


             5. โทรศัพท์มือถือยุคที่ 4
      ในยุคนี้ยังคงอยู่ในขั้นพัฒนาด้านความเร็วในการรับ-ส่งข้อมูล ซึ่งสามารถทำความเร็วได้ถึงระดับพันล้านบิตต่อวินาที ทำให้รองรับการระบบ Multimedia  ในแบบ 3 มิติ (3D) ได้ราบรื่นการกระจายสัญญาณทีวีที่ให้รายละเอียดสูง ในระดับ HDTV (High Definition Television) และระบบความปลอดภัยจากการใช้งานมากขึ้น ทาง I.T.U. (International Telecommunication Union) ตั้งเป้าว่าน่าจะมีการเริ่มใช้บริการได้ในอีก 3-5 ปีข้างหน้า (ขณะนี้ในประเทศอังกฤษกำลังทดสอบระบบ 4Gแต่คาดว่าจะใช้ได้ประมาณปี พ.ศ.2555)
      ส่วนมาตรฐานยังไม่มีการกำหนดรายละเอียดที่แน่นอน แต่โครงสร้างพื้นฐานจะเป็นแบบ Packet Switching Network รวมทั้งการใช้ IPV6 (Internet Protocol Version 6) มาแทน IPV/4 ที่กำลังใช้ในปัจจุบัน (IPV4 Address ใกล้หมดแล้ว)

      ที่มา : http://apecthai.org/apec/th/technology.php?year=2009&id=3

      ไม่มีความคิดเห็น:

      แสดงความคิดเห็น